Pages

สุกี้แห้งเคลกับถั่วแบลคอายส์พีส์

สองสามปีมานี่ ผักเคล (Kale) เป็นที่นิยมกันมาก ว่ากันว่ามีประโยชน์มาก อาจช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงในการมะเร็ง ลดความดันโลหิต และลดโอกาสการเป็นหอบหืด แต่คนเป็นไทรอยด์ต้องระวัง อย่าทานดิบ ต้องทำให้สุกก่อน

Honey Pecan Quinoa Granola

Very yummy and easy to make granola

พิซซ่ากะทะหน้าเพสโต้กะเพราะและเห็ด

พิซซ่าทำไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ ทำทานเองที่บ้านได้สบาย ใช้เวลาหน่อยเท่านั้นเอง แต่ว่าแป้ง ก็ทำไว้ตอนก่อนเข้านอน วันรุ่งขึ้นก็ค่อยมาทำได้ค่ะ

Quinoa

My latest discovery of this super (pseudo)grain full of protein and tons other nutrients which I combined with my homegrown herbs into a sumptuous meal.

Asparagus

High in vitamins B6 and C, plus fiber, folate and glutathione, an anti-carcinogen and antioxidant, asparagus is an excellent nutritional choice.

Tuesday, October 16, 2012

Asparagus - แอสพารากัส ผักอร่อยเปี่ยมคุณค่า

 

นอกจากอร่อยแล้วหน่อไม้ฝรั่งยังมีประโยชน์มากหลาย ว่ากันว่าเป็นราชาแห่งผักของฝรั่ง เป็นพืชพื้นเมืองแถบยุโรปและแอฟริกา คุณสมบัติสำคัญอยู่ที่ความกรอบแต่นุ่มเนียน แถมยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสชาติดี มีคุณค่าทางอาหารค่อนข้างสูง โดยเฉพาะฟอสฟอรัสและวิตามินเอ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของกลูตาไธโอน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสารต่อต้านการเกิดมะเร็ง



High in vitamins B6 and C, plus fiber, folate and glutathione, an anti-carcinogen and antioxidant, asparagus is an excellent nutritional choice. It comes in three colors: white, green or purple, although the green variety is the most common. Long considered a luxury vegetable, often with a luxury price tag, fresh American-grown asparagus appears in stores in late February. But asparagus is at its best—and is usually cheapest—in April and May. And sure, while there’s frozen and canned asparagus, which can be enjoyed year round, nothing beats the delicate flavor of fresh asparagus.




วิธีที่ง่ายและอร่อย ที่สุดคือเอามาต้มอย่างรวดเร็ว (หักโคนแข็งๆ ที่ปลายก้านออกก่อน) แล้วเอาเรียงในกะทะ ที่ใส่น้ำปริ่มๆ เปิดไฟให้น้ำเดือดแล้วปิดไฟเลย เอาฝาครอบไว้ 2 นาที แล้วตักออกเลย วิธีนี้เจ๋งมาก เร็วและการันตีว่าไม่เละแน่ๆ 


เสร็จแล้วถ้าชอบเอาจิ้มกับมายองเนส หรือราดออลลองแดสซ้อสอย่างในรูปนี้ก็ได้นะคะ

วิธีทำ Hollandaise Sauce:

 2  egg yolks

1 tsp. lemon juice

1/2 cup butter

ใช้หม้อเคลือบเล็ก กวนไข่แดงกับน้ำมะนาวด้วยช้อนไม้ ให้ไข่แดงแตกเนียน ไม่ต้องให้ฟูเหมือนตีไข่เจียวนะ จากนั้นเอาหม้อไข่ขี้นตั้งไฟอ่อนมากๆ ใส่เนย 1/4 ถ้วยลงไป กวนไปเรื่อยๆจนเนยละลายหมด ซอสจะยังใสอยู่ เติมเนยที่เหลือลงไป กวนจนเนยละลายหมด ก็ยังกวนต่อไปจนซอสเริ่มข้น ถ้ายกช้อนไม้ขึ้นมา ซอสจะต้องเคลือบผิวด้านหลังช้อน ถ้ายังไม่เคลือบก็กวนต่อไป เมือได้ที่แล้วยกหม้อขึ้นจากเตาทันที ถ้ายังไม่ใช้ให้ปิดฝาไว้ 

Quinoa - คีนัว กับเทศกาลกินเจ



My latest discovery of this super (pseudo)grain full of protein and tons other nutrients which I combined with my homegrown herbs into a sumptuous meal.

วันนี้ไม่ได้ไปถ่ายรูปที่ไหนก็เลยมาเก็บภาพแถวๆในครัว พร้อมอินเทรนด์กับเทศกาลกินเจด้วย ‘ข้าวผัดคีนัว’ กันค่ะ ปกติไม่ได้เข้มงวดกับการกินเจตามแบบคนจีน เพียงแต่ทานมังสวิรัติตามไปตามสะดวก ดังนั้นข้าวผัดนี้เลยใส่กระเทียม แล้วก็ผักหญ้าที่เด็ดๆ เอาจากสวนครัวข้างหน้าต่างของตัวเองค่ะ

เพิ่งรู้จักคีนัว หรือ คีนวาห์ (Quinoa) จากเพื่อนแล้วเห็นว่าเป็นอาหารที่ทรงคุณประโยชน์มากๆ เลยติดใจ มันไม่ใช่ธัญพืช แม้หน้าตาและรสชาติคล้ายกัน แต่มีสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับ บีท (beet) ผักโขม (spinach) และทัมเบิ้ลวี้ด (tumbleweed หรือ หญ้าฝรั่งที่แห้งแล้วกลิ้งๆไปตามลมที่เห็นในหนังคาวบอยสมัยก่อน) มักนำมาใช้แทนธัญพืชในการประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด นอกจากย่อยง่ายแล้ว ยังมีโปรตีนสูงถึงประมาณ 12-18% และประกอบด้วยโปรตีนที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนคล้ายกับที่มีในน้ำนม โดยต่างจากโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์เช่นพืชทั่วไป นอกจากนี้ยังอุดมด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินอี วิตามินบีนานาชนิด และใยอาหาร เหมาะสมกับที่ถูกกล่าวว่าเป็น “Supergrain” หรือ ‘ซูเปอร์ธัญพืช” งั้นเลย คีนัวเป็นพืชที่ใช้เป็นอาหารในอเมริกาใต้ เช่น เปรู ชิลี และโบลีเวีย มีประวัติการเพาะปลูกยาวนานถึงกว่า 3000-7000 ปีมาแล้ว ชนเผ่าิอินคา ถือว่าเป็นพืชที่ศักดิ์สิทธิ์ และเรียกคีนัวว่า “chisaya mama” หรือ มารดาแห่งธัญญพืชทั้งปวง และจักรพรรดิของอินคาก็จะเป็นผู้เป็นประธานในการหว่านเม็ดคีนัวในพิธีแบบพิธีแรกนาขวัญในบ้านเราด้วยนะ แต่ภายหลังเมื่อพวกคองคิสตาดอร์ (conquistadores) จากสเปนเข้ามายึดครองดินแดน ก็แบนการปลูกคีนัวเสียสิ้น เพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพิธีนอกรีต แล้วให้คนพื้นเมืองหันไปปลูกข้าวสาลีแทน ด้วยคุณสมบัติมหัศจรรย์ปานยาผีบอกนี้ คีนัวเลยน่าจะได้รับการบรรจุไว้ให้เป็นอาหารของนักบินอวกาศในโครงการนาซ่าเลยล่ะค่ะ

Quinoa, a species of goosefoot (Chenopodium), is a grain-like crop grown primarily for its edible seeds. It is a pseudocereal rather than a true cereal, or grain, as it is not a member of the grass family. As a chenopod, quinoa is closely related to species such as beets, spinach, and tumbleweeds. Derived from the Spanish spelling of the Quechua name kinwa or occasionally "Qin-wah", Quinoa originated in the Andean region of South America, where it was successfully domesticated 3000 to 4000 years ago for human consumption, though archeological evidence shows a non-domesticated association with pastoral herding some 5200 to 7000 years ago. Quinoa was of great nutritional importance in pre-Columbian Andean civilizations, secondary only to the potato, and was followed in importance by maize. In contemporary times, this crop has become highly appreciated for its nutritional value, as its protein content is very high (12%–18%). Unlike wheat or rice (which are low in lysine), and like oats, quinoa contains a balanced set of essential amino acids for humans, making it a complete protein source, unusual among plant foods. It is a good source of dietary fiber and phosphorus and is high in magnesium and iron. Quinoa is gluten-free and considered easy to digest. Because of all these characteristics, quinoa is being considered a possible crop in NASA's Controlled Ecological Life Support System for long-duration manned spaceflights.

Sources / ที่มา

Quinoa
คีนวาห์ ….. สุดยอดเมล็ดพืช

Comfort Food - Homemade Veggie Pot Pie


For me, pot pies mysteriously have the word "comfort" written all over them. Oddly they also seem hard to make and I have been intimidated about making them for the longest time. Yet, at this time of year, cravings for comfort food gives me a renewed motivation. I also managed to tackle making flaky pie crust and rolling out my dough for the first time ever !!! Yippy... Happy to report that it went unbelievably well -- thanks to my beloved "The Joy of Cooking" cook book. I sat down to dinner with a great sense of triumph :).  
I have to confess, if Thai cook books are half as well written as this book, I would have graduated the Thai Cordon Bleu by now :P -- Most of the time, I got confused and frustrated and give up all together given my track records -- ha ha. Anyway, the history of "pies" is quite long and interesting. Check out this link if you are interested: The History of Pie by Slice of Life Sunday .

เคยทานเชพเพิร์ดพายครั้งแรกที่โคเว้นท์ การ์เด้น ในลอนดอน และทำให้เปลี่ยนใจจากสิ่งที่คนชอบล้ออาหารอังกฤษว่าแสนจะน่าเบื่อที่สุดในโลก -- สำหรับคนที่ชอบทานเผ็ดอาจไม่ชอบเลย แต่ในอากาศหนาวๆ แล้วล่ะก็ มันเป็นอาหารที่ทานแล้วมีความสุขเอามากๆ เลย รวมแล้วๆ มันเหมือนกะหรี่พั้ฟ ที่ไม่ใส่ผงกะหรี่น่ะ หลังจากประสบการณ์ครั้งนั้น ก็ไม่ได้ทานพวกเซเวอรี่พาย (savoury pies- คือพวกพายที่ไม่ใช่ของหวาน ข้างในเป็นเนื้อสัตว์ -- คนอังกฤษ เอาไว้ล้างปากก่อนของหวาน -- ฟังดูแปลกๆ เนอะ เอาของคาวล้างปากน่ะ) ที่อร่อยๆ อีกบ่อยนัก --มันเหมือนกับว่าเป็นอาหารโบราณ พื้นบ้าน แล้วคนไม่ค่อยทำกันรึไงเีนี่ยะล่ะ ว่ากันว่าพายนี่เริ่มทานกันตั้งแต่ยุคโรมัน ราวๆ คริสต์ศตวรรษที่ 5-6 โน่นแน่ะ แต่ แป้งพายสมัยก่อนไม่อร่อย ทำจากน้ำมันมะกอก แล้วบางทีก็มีสัตว์เป็นๆ อยู่ข้างในพาย แบบว่าพอตัดพาย นกบินออกมาเงี้ยะ (ทำให้นึกถึงคนจีนที่กินสมองลิงที่ดิ้นๆ อยู่ใต้โต๊ะอ่ะ อึ๋ยยยย) ภายหลังพัฒนากันมาจนเป็นพายที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน 

เริ่มแรกพายเป็นอาหารคาวก่อน แล้วค่อยๆ แพร่ขยายวงกว้างไปสู่ของหวานจนมีตำหรับมากมายนับไม่ถ้วนในปัจจุบัน ส่วนในอเมริกา คนยุโรปที่มาตั้งรกรากก็นำเอาสูตรมาด้วย น่าสนใจที่แต่ละภาคในอเมริกาก็จะมีพายเด่นๆ ต่างๆ กันไป อย่างทางมิดเวสท์ก็จะเป็นพายผลไม้ อย่าง Rhubarb pie, ที่ฟลอริด้า ก็มี Key Lime Pie เป็นต้น อากาศที่นี่ช่วงนี้ถึงจะไม่หนาวมากนัก แต่ก็ชวนให้ทานอาหารที่ทำให้สุขใจเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยลุกขึ้นกัดฟันลองทำดู ส่วนที่ยากคงจะเป็นแป้งพาย -- ที่มีหลากหลายวิธีตั้งแต่ง่ายจนถึงยากที่สุดสำหรับฉัน อย่าง พัฟเพสตรี้ (puff pastry) ที่ซักวันคงจะพยายามบ้าง แต่วันนี้ลองใช้สูตรต้นตำหรับที่ต้องโรลด้วย อิอิ อยากใช้โรลลิ่งพินที่ซื้อมาตั้งนานแล้วอ่ะ 

ปกติเค้าจะทำพ้อตพายไก่ แต่หมู่นี้ขี้เกียจทานเนื้อสัตว์ ก็เลยลองทำเป็นพ้อตพายผัก (เข้าใจว่า pot pie ของอเมริกันส่วนมากมีแป้งเฉพาะข้างบน ไม่เหมือนยุโรป) อืมมม อร่อยเกินขาด ต้องขอขอบคุณตำราอาหารคู่ใจ เดอะจอยออฟคุ้กกิ้ง ที่เขียนดีที่สุดเลย ละเอียดทำตามง่าย ไม่เหมือนตำราอาหารไทยที่เขียนเอาพอสังเขป (แม้ว่าไม่ได้ตั้งใจอย่างงั้น มั้ง) แบบว่าส่วนมาก คนทำอาหารใช้สามัญสำนึกเอง ที่ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีสามัญสำนึกในการครัวเป็นอย่างยิ่ง -- สังเกตได้ว่า แม่ครัวไทยเก่งที่สุดในโลก ไม่เคยเห็นคนไหนอ่านตำราเลยซักคน 555 อ้าว นี่ว่าจะเขียนนิดเดียว เพ้อเจ้อไปเรื่อยๆ อีกแล้ว อิอิ -- ทั้งนี้ทั้งนั้น พออ่านเรื่องเกี่ยวกับพายไป ก็พาลให้ไปนึกถึงอาหารจานโปรดที่แม่ทำให้ทานในโอกาสพิเศษเสมอตอนเด็กๆ คือ สตูลิ้นวัว พอโตขึ้นหาทานไม่ค่อยได้แล้ว คงเพราะโรคภัยของวัวมากเหลือเกิน แล้วคนก็เลิกทานเนื้อกันเยอะเนอะ

Monday, July 16, 2012

How to Make Greek Yogurt & Yogurt Cheese วิธีทำกรีกโยเกิร์ต & โยเกิร์ตชีส


เคยเห็น สูตรทำโยเกิร์ตชีส และโยเกิร์ตพาย (ขนมแบบชีสเค้ก) และอยากทำมานานแล้ว แต่ิเพิ่งจะได้ฤกษ์  แล้วก็เพิ่งไปพบว่าสูตรนี้แหละมันก็คือวิธีทำแบบเดียวกับ การทำกรีกโยเกิร์ตที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ก็เลยยิ่งดีใหญ่เลย

ว่าแต่ว่า กรีกโยเกิร์ตนี่คืออะไร อยากรู้จัง เลยไปหาข้อมูลดู แล้วก็เลยเอามาฝากด้วยค่ะ

ไปเจอข้อมูลจากเวปนี้ิbloggang.com/Phoebe Buffay ละเอียดดี เลยขอลอกมาซะเลยนะคะ

ที นี้เรามาดูกันดีกว่าว่าการทำกรีกโยเกิร์ตต่างจากโยเกิร์ต ธรรมดายังไง ... จริงๆ ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากโยเกิร์ตธรรมดาอะไรมากมาย เพียงแต่ว่ากรีกโยเกิร์ตเค้าจะเอามากกรองเอาน้ำออกก่อนจนเนื้อโยเกิร์ตออก แนวกึ่งชีส กึ่งโยเกิร์ต ไม่เป็นเจลๆ ลิ่มๆ น้ำโหลงเหลง (คนที่เคยกินแต่พวกโยเกิร์ตที่ใส่แป้งใส่ thickener คงไม่ทราบ) ซึ่งทำให้กรีกโยเกิร์ตทั้งเนียน ทั้งข้น อร่อยมาก ในขณะที่ไขมันต่ำ และน้ำตาลก็ยังต่ำอีกด้วย (เพราะถูกกรองทิ้งไป)

ทีนี้เรามาเปรียบเทียบกันระหว่าง กรีก กับแบบไม่กรีก ว่า อันไหนดีกว่า แบบไหน ยังไง (ในปริมาณ serving ที่เท่ากัน)

Protein
กรี กโยเกิร์ตให้โปรตีนสูงกว่าแบบธรรมดาเกือบเท่าตัว (เพราะว่าเข้มข้นกว่า) ทำให้กินแล้วอิ่มเร็วกว่า แน่นท้องมากกว่า ทำให้เหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก และควบคุมอาหารเป็นอย่างมาก (พวกโยเกิร์ตขนมหวานนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะ ทั้งแป้ง ทั้งน้ำตาล ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก และควบคุมอาหาร)

Carbohydrate
กรี กโยเกิร์ตมีปริมาณแป้งและน้ำตาลต่ำกว่าโยเกิร์ตแบบธรรมดาประมาณ 1/3 เลยทีเดียว สาเหตุก็เพราะเวลากรองเอา "น้ำ" ออก ... "น้ำ" ที่ว่านี้มันจะมีพวก milk sugar และ lactose ทำให้ปริมาณแป้งและน้ำตาลถูกกรองทิ้งออกไปตามน้ำนั่นเอง ... เนื่องจาก lactose ถูกกรองทิ้งไป จึงทำให้กรีกโยเกิร์ตเหมาะกับคนที่มักมีปัญหากินนมแล้วจู๊ดๆ (lactose-intolerant) ด้วย ... สรุปคือ หากต้องการควบคุมน้ำตาล (เบาหวาน) ควบคุมน้ำหนัก และควบคุมปริมาณการกิน กรีกโยเกิร์ตที่มีปริมาณแป้งและน้ำต่ำ เป็นทางเลือกที่เหนือกว่าโยเกิร์ตธรรมดา

Sodium
กรี กโยเกิร์ตมีปริมาณโซเดียมประมาณครึ่งนึงของโยเกิร์ตธรรมดา ซึ่งก็เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมโซเดียม โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคความดันสูง

Calcium
พูด มา 3 อย่าง กรีกนำไป 3-0 แล้ว ทีนี้มาดูแคลเซียมกันบ้าง ... เนื่องจากว่ากรีกโยเกิร์ตจะต้องกรองน้ำทิ้งออกไป ทำให้แคลเซียมถูกทิ้งออกไปด้วย (แต่ก็ไม่ทั้งหมด) ... โดยประมาณแล้ว กรีกโยเกิร์ตจะมีแคลเซียมต่ำกว่าโยเกิร์ตแบบธรรมดา คือ ในปริมาณที่เท่าๆ กัน โยเกิร์ตธรรมดาให้แคลเซียมราวๆ 30% DV แต่ กรีกโยเกิร์ตจะให้แคลเซียมราวๆ 20% DV หรือราวๆ 2/3 นั่นเอง ... หากใครต้องการเน้นแคลเซียม โยเกิร์ตธรรมดาชนะค่ะ ... ตอนนี้กรีกนำอยู่ 3-1 ค่ะ

Bacteria Cultures
ต่อ มาก็คือ bacteria cultures ระหว่างโยเกิร์ตธรรมดา โดยเฉพราะช่วงหลังๆ มานี้ probiotics เป็นที่พูดถึงกันหนาหู ว่าดีโง้นดีงี้ และก็โฆษณากันอย่างหนักหน่วง ว่าดีต่อสุขภาพนักหนา ... ส่วนมากพวกโยเกิร์ตที่โฆษณาว่ามี probiotics จะมี bacteria cultures อยู่ 2 strains (lactic acid bacteria และ bifidobacteria) ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย ... เมื่อเทียบกับกรีกแล้ว มี bacteria cultures อยู่ 5-6 strains เลยทีเดียว ... ทำให้กรีกโยเกิร์ตชนะไปด้วยแต้ม 4-1

Cholesterol
เนื่อง จา กกรีกโยเกิร์ตเข้มข้นกว่า จึงทำให้มีปริมาณ cholesterol สูงกว่าตามไปด้วย ยกเว้นแต่ว่ากินแบบ 0% จริงๆ ก็จะไม่มี cholesterol นะคะ ... หากกินกรีกโยเกิร์ตแล้ว เราไม่เห็นว่ามีความจำเป็นต้องกินแบบมีไขมันเลยค่ะ เราว่ามันอร่อยกว่าโยเกิร์ตธรรมดาแบบมีไขมันอีกค่ะ ... สรุปคือ ถ้ากินแบบ 0% ก็ถือว่าเสมอกัน แต่ถ้ากินแบบมีไขมัน ปริมาณ cholesterol แบบกรีกจะสูงกว่าเท่าตัวค่ะ ... เราขอ (ลำเอียง) ให้เสมอกันนะคะสำหรับข้อนี้ ... กรีกโยเกิร์ตยังนำอยู่ 5-2 ค่ะ
นี่ ยังไม่พูดถึงความอร่อย (ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลด้วย) สำหรับเรา ถ้านับคะแนนความอร่อยด้วยละก็ กรีกโยเกิร์ต ชนะ 6-2 ค่ะ ใครที่ชอบกินโยเกิร์ตเนียนๆ มันๆ ลองหันมากินกรีกโยเกิร์ตกันดูค่ะ จะโยน pecans หรืออะไรที่ชอบๆ ลงไป ก็เพิ่มรสชาติได้อย่างดีเลยค่ะ
สรุปว่า ดีแหละ วิธีทำก็ง่าย ทำำได้ดังนี้ค่ะ

นำโยเกิร์ตรสจืดที่เราทำแล้วในภาคที่หนึ่ง (วิธีทำตรงนี้: วิธีทำโยเกิร์ตทานเองที่บ้าน ) มาใช้

หมายเหตุ:  ส่วนใหญ่ เค้าแนะนำให้ใช้นม whole milk หรือ Half & Half แต่ว่าของตัวเองในคราวนี้ใช้แบบไขมัน 2 % ก็ออกมามันมากๆ แล้วนะคะ แต่ว่าไม่มั่นใจว่านม fat free จะใช้ได้ผลหรือไม่นะคะ

อุปกรณ์
1. Cheese cloth หรือ ผ้าขาวบาง
2. กระชอน
3. ถุงถั่ว ข้าวสาร หรืออะไรก็ได้ เอามาไว้วางทับบนโยเกิร์ต

วิธีทำ
1. ใช้ cheese cloth ตัดพอให้ขนาดใหญ่กว่ากระชอนที่เรามี ซ้อนกัน 6 ชั้น เพราะผ้ามันบางมาก หรือใช้ผ้าขาวบาง คิดว่าน่าจะชั้นเดียวหรือสองชั้นเอาอยู่  เอากระชอนวางไว้ในอ่างล้างจาน หรือในหม้อก็ได้ เทโยเกิร์ตลงไป


2.  หาไม้หนีบหรือหนังยางรัดผ้าขาวไว้


4. เสร็จแล้วหาถุงข้าวสาร หรือถุงถั่ว หรืออะไรหนักๆ สะอาดๆ วางทับไว้ข้างบน จะได้เร่งการรีดน้ำ
5. ถ้าจะให้เป็นกรีกโยเกิร์ต ไม่ให้มันข้นมาก ทิ้งไว้แค่ 1-2  ชั่วโมงก็พอ -- ลองชิมดูว่าชอบข้นแค่ไหน เทน้ำหางนมที่ไหลออกมาทิ้ง หรือจะเก็บไว้ทำอาหารต่อก็ได้ อย่างทำขนมปัง ฯลฯ
6. ถ้าต้องการให้เป็นโยเกิร์ตชีสเพื่อเอาไปทำขนมแทนครีมชีส ให้ทิ้งไว้ 6-8 ชั่วโมง


How to Make Homemade Yogurt - วิธีทำโยเกิร์ตทานเองที่บ้าน

มีปัญหามั้ยว่า โยเกิร์ตที่ซื้อตามร้านนั้นมันหวานซะเหลือเกิน แล้วก็กระปุกเล็ก ทานประจำก็สร้างขยะเยอะเหลือเกิน อย่ากระนั้นเลย เรามาทำโยเกิร์ตทานเองที่บ้านดีกว่านะคะ



ส่วนผสม
  • นมจืด 1/2 แกลลอน (ถ้าเมืองไทยคงเป็นลิตร ก็ประมาณ 2 ลิตร) -- สามารถใช้แบบพร่องหรือไม่พร่องไขมันก็ได้ตามชอบ 
  • โยเกิร์ตรสจืดธรรมดา 1 ถ้วย (8 ออนซ์)  หาแบบที่มีเชื้อแอคทีฟอยู่ไว้ใช้เป็นหัวเชื้อ อย่าเอาที่มีรสหวาน ส่วนตัวเองหาไม่ได้เลยใช้กรีกโยเกิร์ตทำ อันนี้ต้องซื้อใช้แค่ครั้งแรก ครั้งต่อๆ ไปก็เก็บที่เราทำไว้เป็นหัวเชื้อต่อไปนะคะ

วิธีทำ 

1. นำนมใส่หม้อก้นหนาๆ (เพื่อไม่ให้นมไหม้ติดก้นหม้อ) ตั้งไฟแรงปานกลาง คอยระวัง และคนเป็นระยะๆ
 
พอนมเิริ่มเดือดเป็นฟองนิดๆ  (ถ้ามีเทอร์โมมิเตอร์ทำขนมลองวัดดู อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 85-90 องศาเซลเซียส / 185-195 องศาฟาเรนไฮท์) ยกลง

2. เอาหม้อนมลงแช่ในหม้ออีกใบที่ใส่น้ำเย็นไว้ จะได้ช่วยให้นมอุ่นเร็วขึ้น


3. ขณะที่รอให้นมอุ่น เอาโยเกิร์ตออกมาจากตู้เย็น ตั้งทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง ให้เชื้อในโยเกิร์ตปรับตัว หรือจะนำไปวางบนฝาหม้อให้พออุ่นๆก็ได้


4.  ขณะเดียวกันก็นำขวดและฝาขวดที่จะใส่โยเกิร์ตไปฆ่าเชื้อโดยการต้มในน้ำเดือดประมาณ 10 นาที



5.  กลับไปเช็คนม พอนมอุ่นพอใช้นิ้วแตะได้ไม่ร้อน (หรือที่ประมาณอุณหภูิมิ 48 องศาซี / 120 องศาฟาเรนไฮท์


6.  เทโยเกิร์ตหัวเชื้อลงไป คนให้เข้ากัน



 7.  ใช้คีมจับขวดที่ฆ่าเชื้อในน้ำร้อนออกมาวางที่โต๊ะ ค่อยๆ เทนมที่ผสมหัวเชื้อลงไป ช้อนฟองที่ผิวหน้านมทิ้ง เนื้อโยเกิ์รตจะได้ออกมาสวย


แบบนี้



8.  ปิดฝาแล้วนำไปวางไว้ที่ๆ ภาชนะจะไม่กระเทือน และไม่มีลมพัด ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง โยเกิร์ตก็เริ่มแข็งตัวแล้ว แต่ถ้าอยากให้เปรี้ยวขึ้นจะทิ้งไว้นานกว่านั้นก็ได้นะคะ แต่ตัวเองชอบรสครีมๆ 3-4 ชั่วโมงก็พอแล้ว นำเข้าตู้เย็น  เห็นตามสูตรนี้เค้าว่าเก็บได้นานเป็นเดือน แต่ว่าตัวเองก็ทานหมดภายในหนึ่งสัปดาห์น่ะค่ะ คิดว่า หนึ่งสัปดาห์น่าจะปลอดภัยกว่านะคะ

หมายเหตุ: สมัยก่อนที่จะมาเจอวิธีทำแบบที่ทิ้งไว้แค่ 3-4 ชั่วโมงนี้ ตัวเองทิ้งไว้ในหม้อเลยข้ามคืน 8-12 ชั่วโมง ซึ่งถ้าหาในเน็ทก็จะเห็นว่ามีคนแนะให้ทำอย่างนั้น ตัวเองก็ทำอย่างนั้นมาตั้งแต่อยู่เมืองไทย ไม่มีปัญหาอะไรแต่เนื้อโยเกิร์ตไม่ค่อยแน่น น้ำเยอะ แล้วพอแนะให้เพื่อนคนนึงทำวิธีที่วางไว้ 12 ชั่วโมงนี่เค้าทำแล้วไม่ขึ้นน่ะค่ะ เลยไปเจอวิธีแบบเอาลงไปแช่น้ำเย็นให้อุ่นลงเร็วขึ้นแล้ววางทิ้งแค่ไม่นานมาก รู้สึกว่าโยเกิร์ตเนื้อเนียนแน่นดี น้ำไม่เยอะเลยค่ะ) ดังนั้นขอแนะนำวิธีนี้ดีกว่า


เวลาทานเสริฟกับผลไม้สด หรือใ่ส่แยมผลไม้ก็ได้ค่ะ



อันนี้เสริฟกับแยมแครนแบรี่ที่ทำเอง ไม่หวานมาก ส่วนถ้าต้องการทำกรีกโยเกิร์ต ก็ไปทำต่อตรงนี้เลยค่ะ วิธีทำโยเกิร์ตทานเองที่บ้าน (ภาค 2) - กรีกโยเกิร์ต & โยเกิร์ตชีส


วิธีทำดัดแปลงจาก สูตรของ The Frugal Girl

Tuesday, June 26, 2012

Homemade Blackberry Ice Cream

One of my favorite Summertime activities is berry picking and then make homemade ice cream with this super easy and fun way that can be enjoyed by kids and adults alike.  I normally go along my normal hiking route and pick some blackberries that are so yummy.


 Meanwhile, assemble these ingredients:
1/2 cup milk
1/2 teaspoon vanilla
3 tablespoon sugar
 1/4 cup black berry juice (I crush a bunch of berries with the back of a spoon, strained)
4 cups crushed ice
6 tablespoons salt
2 quart size Zip-loc bags
1 gallon size Zip-loc freezer bag
A hand towel or gloves to keep fingers from freezing as well!


Directions:
  1.  Mix the milk, vanilla, sugar, and blackberry juice  together in one of the quart size bags. Seal tightly, allowing as little air to remain in the bag as possible. Too much air left inside may force the bag open during shaking. 
  2. Place this bag inside the other quart size bag, again leaving as little air inside as possible and sealing well. By double-bagging, the risk of salt and ice leaking into the ice cream is minimized. 
  3. Put the two bags inside the gallon size bag and fill the bag with ice, then sprinkle salt on top. Again let all the air escape and seal the bag. 
  4. Wrap the bag in the towel or put your gloves on, and shake and massage the bag, making sure the ice surrounds the cream mixture. Five to eight minutes is adequate time for the mixture to freeze into ice cream.
  5. Serve right away over some berries and garnish with mint leaves.

Homemade Blackberry Ice Cream